
พูดถึงหุ้นตัวนี้จะนึกถึง 7-11 เพราะยอดขาย 93% เป็น Exclusive อยู่ที่นี่ หลัก ๆ คือเครื่องดื่มชา กาแฟ ในโถกดเย็น โถกดร้อน รวมทั้งขายผงเครื่องดื่มชาเขียว ชาไทย ชามะนาว โยเกิร์ต (ยกเว้นผงกาแฟ) ให้ All-Café ที่มีประมาณ 5,000 สาขา
อีก 7% ที่เหลือเป็นแบรนด์ตัวเอง มีชาเขียว เซนย่า เครื่องดื่มชูกำลัง Jump Start กาแฟ V-Slim มีขายโดนัทที่เป็นเกลียว ๆ ชื่อ Snowy Donut และเครื่องเขียนลาย Rilakkuma กับ Sanrio (หลายอย่างก็ขายใน 7-11 อีกนั่นแหละ แค่ไม่ exclusive และบางส่วนขายในต่างประเทศ)
..
** ผลประกอบการย้อนหลัง **
.
ปี 2558 ยอดขาย 1,004 ล้านบาท กำไรสุทธิ 68 ล้านบาท (GPM 30.6% NPM 6.7%)
ปี 2559 ยอดขาย 1,177 ล้านบาท กำไรสุทธิ 102 ล้านบาท (GPM 30.3% NPM 8.6%)
ปี 2560 ยอดขาย 1,281 ล้านบาท กำไรสุทธิ 112 ล้านบาท (GPM 30.2% NPM 8.7%)
ครึ่งปีแรก 2560 ยอดขาย 613 ล้านบาท กำไรสุทธิ 57 ล้านบาท (GPM 31.9% NPM 9.2%)
ครึ่งปีแรก 2561 ยอดขาย 606 ล้านบาท กำไรสุทธิ 37 ล้านบาท (GPM 27.6% NPM 6%)
.
เริ่มมองที่รายได้ก่อน จะเห็นว่า 3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง และสุดท้ายก็ยันไม่อยู่ ตกลงในที่สุด สาเหตุคือ ธุรกิจชาเขียว Zenya ในกัมพูชา ที่มีรายได้ปีละ 100 กว่าล้านบาท สู้สงครามราคาไม่ไหว คนกินเฉพาะตอนมีโปรโมชั่น ขายขาดทุนทำให้ต้องเลิก เก็บของกลับบ้านตั้งแต่ต้นปี 2561 แต่ในขณะเดียวกันยอดขายสินค้าที่เหลือโตได้ 16% เพราะสาขา 7-11 เพิ่มขึ้น และมีการออกสินค้าใหม่มาขาย
..
ในส่วนของกำไรลดลงตั้งแต่ GPM เพราะโดนเรื่องภาษีน้ำตาลทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น แต่บริษัทเองเริ่มปรับสูตรใหม่และวางขายในเดือนพฤษภาคมแล้ว คือถ้าดู GPM Q1’61 = 25.6% และ GPM Q2’61 = 29.4% จะเห็นว่าเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้น
.
=======================
.
** แล้วราคาตอบรับอย่างไร **
.
TACC เข้าตลาดเดือนธันวาคม 2558 ด้วยราคา IPO 2.88 บาท และวิ่งขึ้นไปทำ High 10.50 บาท ในอีก 1 ปีต่อมา (ตุลาคม 2559) แต่หลังจากนั้นก็ร่วงลงมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงราคาต่ำสุด 3.98 บาท และตอนนี้ก็วิ่งมาอยู่แถว ๆ 4 บาทต้น ๆ เริ่มทำท่าเหมือนจะยืนได้ แต่ P/E ก็ 27 เท่านะ
..
** อนาคตถ้าจะดีได้ เพราะอะไร **
.
1) ปรับสูตรเครื่องดื่มผงสูตรใหม่น้าตาลน้อย ทำให้ GPM ดีขึ้น
.
2) ขายเครื่องดื่มช็อคโกแล็ต Hershey’s ใน Q4 ตัวนี้ปีที่แล้วขายดีมากหมดใน 3 สัปดาห์ รอบที่แล้วขายเป็น seasonal แต่รอบนี้ขายยาวแต่ไม่ทุกร้านค้า เป็นร้านที่ 7-11 เรียกว่า optional store (คิดว่าน่าจะเป็นหลักพันสาขา เพราะ optional ของ 7-11 ก็มีหลายแบบ)
.
3) ขายน้ำที่ไม่ซ่า พวกชา กาแฟ 6 เมนู ใน A&W Express 3 สาขา ตั้งอยู่ใน MRT เริ่มมาตั้งแต่สิงหาคม สัดส่วนยังน้อยอยู่มาก ค่อย ๆ ตามดูต่อว่าจะขยายไปได้แค่ไหน
.
4) Rilakkuma หาลูกค้าเพิ่มได้ 7 ราย ตอนนี้มี 27 รายแล้ว มีขายเป็นถังป็อบคอร์นที่ Major มีขายเป็นของพรีเมียมที่ Food Court Big C ตรงส่วนนี้ได้เป็น License Fee และสามารถขยายไปต่างประเทศได้
..
** ข้อสังเกตที่น่าสนใจ **
.
1) Oppday ไม่มีคำถามจากในห้อง ผิดกับรอบที่แล้วที่มีคนบ่นว่าติดดอย ถ้าไม่ใช่ว่าคัทไปแล้ว ก็คงแบบทนถืออยู่ไม่รู้จะถามอะไรอีก ทำให้รู้สีกว่านักลงทุนเริ่มไม่ค่อยสนใจหุ้นตัวนี้เหมือนก่อน
.
2) จุดพีคผ่านไป 2 ปีแล้ว ตอนนี้ราคาเริ่มนิ่ง ๆ มีคนเคยสอนผมว่า เจ้าไปเที่ยวเสร็จก็ต้องใช้เงิน ต้องกลับมาหาเงินเที่ยวต่อ
.
3) แนวโน้มอนาคตสั้น ๆ รายได้กัมพูชาหาย แต่ได้ Hershey’s มาช่วยแบบเต็ม ๆ อัตราส่วนกำไรก็น่าจะดีขึ้นเพราะภาษีน้ำตาลจะกระทบน้อยลง แต่อนาคตแบบยาว ๆ ก็ยังไม่ชัดว่าจะเอาตัวเองออกมาจาก 7-11 ยังไง
…
โดยสรุปนะครับ หุ้นตัวนี้น่าสนใจในแง่ของราคาที่ตกลงมาเยอะมาก (แต่ P/E ก็ยังไม่ถูกนะ) และมีแนวโน้มว่ากำไรจะเริ่มยันได้จากสูตรใหม่ การขาย Hershey’s แบบถาวรน่าจะช่วยได้พอสมควร แต่ส่วนที่ไม่อยากให้หวังมากคือ การกลับไปกัมพูชาใหม่ และ Rilakkuma รวมไปถึงการที่บริษัทบอกว่าอีก 2 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มสัดส่วนแบรนด์ตัวเองเป็น 35% ยังไม่เห็นความชัดเจนเหมือนกันว่าจะเป็นไปได้อย่างไร
..
คิดจะลงทุนระยะยาว ภาพยังไม่ค่อยชัด แต่ถ้าจะเก็งกำไรก็ลองดูว่าถึงรอบรึยังนะครับ