SET INDEX ทำสถิติปิดสูงสุดไว้เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2537 ที่ 1,753.73 ถ้าดูตอนนี้ถือว่าใกล้เคียงมากคืออยู่ที่ 1,752.89 เรียกได้ว่าหายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว และมีผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักก็เชื่อกันว่าอีกไม่นานเกินรอ SET น่าจะทำลายสถิติตลอดกาลที่ 1,789.16 ได้ในที่สุด
แต่หลายคนพอมามองดูพอร์ตตัวเอง อ้าว เฮ้ย! ไม่เหมือน SET นี่นา ทำไมมันแดงเถือกยังงี้ ก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนครับว่าเวลาเค้าคำนวณ SET INDEX นี่เค้าคิดจากมูลค่าตลาดรวมวันปัจจุบันแบบถ่วงน้ำหนักของหุ้นทุกตัวที่ไม่ติด SP หารด้วย Market Cap ในวันฐานเมื่อปี 2518 แล้วก็จะมีการปรับฐานตลอดเวลาที่มีหุ้นเข้าใหม่ ออกจากตลาด เพิ่มทุน หรือลดทุน เพราะฉะนั้นหลัก ๆ ที่ SET ขึ้นมาปีนี้ก็มาจากหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่ ๆ ดันตลาดไม่ว่าจะเป็นพลังงาน ธนาคาร โรงไฟฟ้า ค้าปลีก เป็นต้น
.
คำถามคือ เรามีหุ้นเหล่านี้ในพอร์ตมั้ย? หรือจริง ๆ แล้วเราเล่นหุ้นตาม SET มั้ย? การที่ SET จะขึ้นหรือลงมันกระทบกับหุ้นเราหรือเปล่า? บางคนบอกว่าไม่มีผลหรอก เพราะวันไหน SET ขึ้น หุ้นเราก็นิ่ง แต่อย่าให้ SET ลงนะ หุ้นเราร่วงเลย (มีใครเคยเจออาการแบบนี้บ้างครับ)
.
คำถามที่น่าสนใจที่เราควรพิจารณาคือ
.
1) หุ้นในพอร์ตเรารอเวลาที่จะขึ้นใช่มั้ย ?
.
บางคนเล่นหุ้นกลาง หุ้นเล็ก ที่ไม่ได้มีผลกระทบกับตลาดโดยรวมเท่าไหร่ ราคามันก็อาจจะไม่ได้ไปไหนในช่วงนี้ เพราะยังไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าเราวิเคราะห์ทุกอย่างมาดีแล้ว ผลประกอบการในอนาคตมาแน่ ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นคุณก็อาจแค่รอเวลาที่หุ้นตัวที่คุณถือจะแสดงผลงานออกมาครับ แต่ถ้าไม่ใช่ อนาคตมันไม่ชัด ผลประกอบการอาจไม่ดี มันก็อาจจะตอบได้กลาย ๆ ว่าที่หุ้นมันไม่ขึ้นก็อาจจะถูกอยู่แล้ว
.
2) หุ้นในพอร์ตเราขึ้นไปแล้วหรือเปล่า ?
.
หุ้นตัวที่เราซื้อมันมาขึ้นมาแล้วหลายเด้งหรือเปล่า แล้วตอนนี้มันเป็นขาลงแล้วใช่มั้ย เราอาจเห็นข่าวดีตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือตามกรุ๊ป Line เชียร์กัน ก็เลยซื้อตามไป ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วคนอื่นกำลังเดินลงจากดอยหลังจากไปชมวิวมา ขณะที่เรากำลังเดินสวนทางกับคนเหล่านั้นโดยลืมดูป้ายเขียนว่าทางขึ้นหรือทางลง
.
3) หุ้นในพอร์ตเราไม่ได้มีทิศทางที่จะไปทางไหนหรือเปล่า ?
.
มีหุ้นหลายตัวเหมือนกันที่ราคามันไม่ไปไหนมาหลายปี โวลุ่มเทรดก็ไม่ค่อยเยอะ รายได้และกำไรทรง ๆ ไปทางลงมาตลอด ไม่ได้มีแผนการลงทุนอะไรใหม่ ทำกำไรได้มาเท่าไหร่ก็จ่ายปันผลหมด แต่ก็ไม่ได้มากมาย เราลองดูซักหน่อยมั้ยว่าเราติดหุ้นประเภทนี้อยู่หรือเปล่าครับ คือธุรกิจอาจจะยังยืนอยู่ได้เพราะอยู่มานาน ยังมีผู้บริโภคกลุ่มนึงที่จงรักภักดียังใช้บริการอยู่ แต่นับวันก็จะเสื่อมถอยลง ราคาหุ้นก็จะค่อย ๆ ลดมูลค่าลงมาในที่สุด
.
4) หุ้นในพอร์ตเราคือหุ้น IPO ใช่มั้ย ?
.
ปีนี้เป็นปีที่มีหุ้นเข้าใหม่เยอะที่สุด และหลายคนก็ขอบที่จะเล่นหุ้นใหม่ด้วยความเชื่อที่ว่า กำไรก่อนเข้าตลาดดี เค้าจะเอาเงินไปขยายกิจการสารพัดสารพัน เรียกได้ว่าหลงรักตั้งแต่แรกพบ หุ้นบางตัวนิสัยดีหน่อยก็ขึ้นวันแรก ๆ ให้ชื่นใจ แล้วค่อย ๆ ซึมลง ๆ บางตัวนี่ร่วงหลุดจองวันแรกก็มี พองบไตรมาสถัดไปออกเท่านั้นแหละ กำไรลดลงผิดคาด ไม่เหมือนตอนอยู่นอกตลาด สุดท้ายเราก็ติดดอย IPO โดยเสน่หา
.
5) หุ้นในพอร์ตเราคือหุ้นเน่าใช่มั้ย ?
.
เคสนี้เลวร้ายที่สุด คือ เราอาจจะไปซื้อหุ้นที่กิจการขาดทุน สภาพคล่องไม่ดี เป็นหนี้เป็นสิน หรือธุรกิจขาลงแบบสุด ๆ แล้วยังไม่มีทางแก้ไข เราอาจเผลอใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบไปซื้อเพราะคิดว่าเค้าจะกลับตัวกลับใจมาดีได้ แต่บางตัวมันไม่ใช่ ราคามันเลยร่วง ถ้าเจอแบบนี้ขอให้ตัดใจ รีบทิ้งเค้าก่อนที่จะโดนเทครับ
..
ลองสำรวจหุ้นในพอร์ตตัวเองดูครับว่าเข้าข่ายไหนบ้าง ถ้าเป็นกรณีแรกอันนี้ก็ไม่ต้องห่วง อาจเป็นโอกาสให้ซื้อด้วยซ้ำถ้าราคาร่วงลงมาแบบไม่มีเหตุผล แต่ถ้าหุ้นที่คุณถือเป็นกรณีที่ 2-5 อันนี้ก็ต้องพิจารณาและวางแผนกันดูครับว่าจะจัดการอย่างไรดี เพื่อไม่ให้เจ็บตัวมากไปกว่านี้
.
ผมมักบอกคนรอบข้างเสมอว่า “เจ็บแต่จบ” ถ้าเค้าไม่รักเราแล้วก็ต้องปล่อยเค้าไป ไปหาหุ้นที่คู่ควรกับเราดีกว่า … เชื่อผม เรามีเงิน เราเลือกได้