BEC พังเพราะอะไร

จากกำไรสุทธิ 4 พันล้านบาท เมื่อปี 2557 ลดลงเหลือ 61 ล้านบาท ในปี 2560 ราคาหุ้นก็ตอบรับแบบเดียวกันจาก 51 บาท เหลือ 10.60 บาท พูดง่าย ๆ ว่า “พัง” เรามาดูกันครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับ BEC หรือ ช่อง 3

1) อุตสาหกรรมโฆษณาหดตัว โทรทัศน์ตกหนัก
.
คือไม่ดีตั้งแต่ภาพใหญ่ ปี 2560 เม็ดเงินโฆษณา -6% เหลือ 101,445 ล้านบาท
.
43% คือ TV Analog + Cable ลดลง 13%
22% TV Digital เพิ่มขึ้น 7%
แต่ถ้ารวม TV Analog, Cable, Digital เข้าด้วยกันลดลง 7.3%
14% วิทยุ แมกกาซีน หนังสือพิมพ์ ลดลง 22%
7% โรงหนัง เติบโตเพิ่มถึง 25% (เอ๊ะ ๆ หุ้นโรงหนังน่าสนใจมั้ยนะ)
..
ถ้ามาดูเดือนมกราคม ก็ยังเป็นแนวโน้มเดิม เม็ดเงินโฆษณา -8.5% คือ ทีวีก็ยังตกหนักอยู่ วิทยุ หนังสือพิมพ์ไม่ฟื้น แต่โรงหนัง และสื่อกลางแจ้งเติบโต (เอ๊ะ ๆ มีตัวไหนอีกบ้าง เดี๋ยวไปทำการบ้านต่อ)
..
2) BEC รายได้ตกหนักกว่าอุตสาหกรรม เพราะเรตติ้งไม่ดี
.
ปี 2557 รายได้ 16,381 ล้านบาท
ปี 2558 รายได้ 16,018 ล้านบาท (-2%)
ปี 2559 รายได้ 12,534 ล้านบาท (-23%)
ปี 2560 รายได้ 11,226 ล้านบาท (-10%)
.
ผมจะเล่าให้ฟังแบบนี้ คนที่ลงโฆษณาหลัก ๆ ของช่อง 3 เนี่ย คือ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค ค่ายมือถือ ค่ายรถยนต์ ธนาคาร หลัก ๆ คือบริษัทเหล่านี้ แล้วถ้าเราดูหุ้นบริษัทเหล่านี้ก็จะรู้ว่าควบคุมค่าใช้จ่ายกันทั้งนั้น จึงไม่แปลกใจที่จะลงโฆษณาน้อยลง และเวลาลงโฆษณาก็จะดูจากเรตติ้ง ซึ่งช่อง 3 ก็ตกลงมาเรื่อย ๆ บริษัทเหล่านี้ก็เลยโยกไปลงช่องอื่นอย่าง WORK, MONO, ONE, AMARIN, 8 กันแทน
.
นอกจากนี้ ทุกบริษัทยังแบ่งงบไปลงสื่อออนไลน์อย่าง Facebook, Youtube หรือจ้าง Blogger มารีวิวกันมากขึ้น ทำให้รายได้ของช่อง 3 จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ ถ้ายังเน้นอยู่แต่ทีวีอย่างเดียว โดย 90% ของรายได้ BEC ทุกวันนี้มาจากโฆษณา
.
3) ต้นทุนแซงรายได้ ทำให้กำไรตกหนัก
.
ปี 2557 กำไรสุทธิ 4,415 ล้านบาท
ปี 2558 กำไรสุทธิ 2,983 ล้านบาท (GPM 37.4% NPM 18.6%)
ปี 2559 กำไรสุทธิ 1,218 ล้านบาท (GPM 28.3% NPM 9.7%)
ปี 2560 กำไรสุทธิ 61 ล้านบาท (GPM 16.8% NPM 0.5%)
.
หลัก ๆ เลย คือ ไปประมูลช่องดิจิตอลมาเพิ่ม 2 ช่อง ทำให้ต้องจ่ายค่าสัมปทาน ทุกปีจะมีการตัดค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย 3-4,000 ล้านบาท และปี 2560 มีค่าต้นทุนผลิตรายการกับถ่ายทอดกีฬามาเพิ่มเยอะ (+425 ล้านบาท) มีคนบอกว่าช่อง 3 ชอบดองหนัง ผลิตแล้วไม่เอามาออกอากาศ แต่ชอบเอาหนังรีเมคมาออนแอร์ รายการต่าง ๆ ที่มีอยู่ที่เรตติ้งไม่ดี ก็ไม่ค่อยปรับเปลี่ยนเท่าไหร่
.
ปี 2560 รายได้ -10% แต่ต้นทุน +4% บีบ SG&A ลดลงมาได้ 9% แต่สุดท้ายไม่พอ กำไรจากหลักพันล้านร่วงมาเหลือแค่หลักสิบล้านบาท
.
4) ผู้บริหารจาก INTUCH ไปแล้ว
.
เมื่อต้นปีที่แล้ว BEC เชิญคุณสมประสงค์ บุญยะชัย จาก INTUCH เข้ามาช่วย รวมทั้งมีทีมงานจาก Intuch และ Advanc เข้ามาเพียบ มีการตั้งตำแหน่งใหม่ ๆ ทั้ง Chief Marketing, Chief Technology คือ จะเอาเทคโนโลยีจากค่ายมือถือที่เชี่ยวชาญมาช่วยขับเคลื่อนองค์กร แต่สุดท้ายคุณสมประสงค์ก็ไขก๊อกลาออกไปแล้ว
..
สรุปสั้น ๆ คือ พังเพราะอุตสาหกรรมหดตัว BEC เรตติ้งไม่ดี บริษัทต่าง ๆ โยกเงินไปโฆษณาช่องอื่นและออนไลน์กันมากขึ้น บวกกับต้นทุนที่เพิ่มมากกว่ารายได้ ทำให้พัง
.
ตอนนี้ต้องจับตาดูว่า BEC จะปรับตัวอย่างไรต่อไป หลายคนอาจเริ่มคิดว่า 10 บาท นี่คือโอกาสหรือเปล่า ต้องลองไปพิจารณาดูให้ดีนะครับว่า เราเห็นแสงสว่างอะไรบ้างแค่ไหน เพราะสิบบาทนี้อาจไม่คุ้มค่าทุกนาทีที่ลงทุนช่อง 3 ก็เป็นได้
.