
ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด !!
..
ผมกำลังจะบอกว่า หลายครั้งที่เราขาดทุนไม่ได้เป็นเพราะว่า เราใช้อารมณ์ในการลงทุน โดยไม่มีเหตุผล แต่จริงๆ แล้วเราอาจะมีเหตุผลมากเกินไป จนมองข้ามอารมณ์ของตลาดก็เป็นได้ 





..
หรือหลายครั้งที่เรากำไรเยอะๆ ก็อาจไม่ได้เป็นเพราะว่าเรามีเหตุผลในการลงทุนแต่เพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นเพราะอารมณ์ของตลาด ณ เวลานั้นที่ช่วยเสริมให้หุ้นขึ้นมากกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้
.

.
หุ้นพื้นฐานดี งบดี เราเห็นแล้ว แต่จดๆ จ้องๆ ไม่กล้าซื้อซักที จนวันหนึ่งราคาวิ่งขึ้นไปแรงมาก เจ้าตัวเหตุผลบอกเราว่า ราคาวันนี้ขึ้นแรง รอย่อก่อนละกัน ส่วนเจ้าตัวอารมณ์บอกเราว่า จังหวะนี้ต้องตามนะ เพราะหุ้นดีที่ทุกคนเริ่มเห็นว่าดีแล้ว งบการเงินพิสูจน์แล้ว มันอาจจะไม่ถอยกลับมารับเราก็เป็นได้
.
เราตัดสินใจตั้งซื้อ แต่เป็นการ bid ที่ราคาต่ำๆ แบบที่เราอยากได้ ไม่ใช่ซื้อที่ระดับราคาที่ขึ้นไปแล้ว แม้เราจะประเมินราคาแล้วก็ตามว่า ถ้าเราซื้อที่ตรงนี้ upside ก็ยังเหลืออีกมาก สุดท้ายหุ้นตัวนั้น ก็วิ่งขึ้นไปแบบไม่ลืมหูลืมตา และเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
.
ถ้าเราเข้าใจอารมณ์ของตลาด เราอาจจะบอกตัวเองได้ว่า หุ้นดี มี upside เยอะ เมื่อเริ่มออกตัวแล้ว มันไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลากลับมาที่จุดสตาร์ทใหม่ มันอาจพักระหว่างทางบ้าง หน้าที่ของเราคือ รีบกระโดดขึ้นให้ทันแต่ด้วยความระมัดระวัง
..

.
ประมาณการ GDP ปรับลดลง COVID จะอยู่กับเราไปอีกพักใหญ่ หนี้รัฐบาลเพิ่มขึ้น คนตกงานเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมอีกหลายปี ล้วนเป็นเหตุผลดีๆ ที่บอกเราว่า เศรษฐกิจแย่ กว่าจะฟื้นอีกเป็นปี พอเราคิดแบบนี้ เราก็จะไม่กล้าซื้อหุ้นเข้าพอร์ต จนกว่าเราจะเห็นแสงสว่างที่ชัดเจน
.
แต่ถ้าเราเข้าใจอารมณ์ตลาดว่า COVID ทำให้เราไม่สบาย แต่ Lock Down ทำให้เราอดตาย และรอบนี้ไม่ได้ Full Lock Down หรือกว่าจะฉีดวัคซีนครบก็เป็นปี เราเข้าใจ แต่แค่เห็นเข็มฉีดยา ตลาดก็ยิ้มสู้ได้ หรือนักท่องเที่ยวยังไม่มา แต่แค่เค้า search ชื่อประเทศไทย เราก็เริ่มอุ่นใจว่ายังไม่ลืมกัน
..
ถ้าเรามองเห็นอารมณ์แบบนี้ของตลาด เราก็ยังพอเลือกหุ้นที่โดนกระทบ แต่ไม่ถึงกับโดนกระแทกจนล้มตาย และเป็นการซื้อเพื่อรอรับกับโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายได้
..

.
ถ้าเราเอากำไรของปี 2020 มาคำนวณ เชื่อว่า คงได้หุ้น P/E สูงลิบลิ่ว เพราะว่า หลายบริษัทดีๆ กำไรหดหาย หรือขาดทุนก็มี ถ้าเราคิดแบบตรงไปตรงมา เราก็คงไม่ได้ซื้อหุ้น แต่ถ้าเราหลับหูหลับตามองข้ามปีที่เลวร้ายนี้ไป แล้วย้อนไปดูปีก่อนวิกฤต กับคาดการณ์ว่าหลังวิกฤตตัวเลขงบการเงินจะกลับมาได้ดีเท่าเก่าแค่ไหน ก็จะทำให้เราประเมินมูลค่าที่เป็นจริงได้สมเหตุสมผลมากกว่า ฟังดูเหมือนใช้อารมณ์เลือกมองสิ่งดี มองข้ามส่วนไม่ดี แต่ก็ดู make sense กว่าที่จะประเมินมูลค่าหุ้นแบบเป๊ะๆ แล้วทำให้ไม่กล้าซื้อหุ้นไป
..
…

แล้วค่อยเอาทั้งสองส่วนมาประกอบเข้าด้วยกัน
.
แล้วใช้ “สติ” ในการตัดสินใจว่า ควรทำอย่างไรถึงจะเหมาะสมที่สุด
.