นักลงทุนแต่ละคนมีสไตล์การเล่นหุ้นที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครถนัดแบบไหน แต่เราก็ต้องมีหลักการและแผนในการรองรับการเล่นแต่ละแบบ เช่น
1) เล่นหุ้นเติบโต โดยมองหากิจการที่มีโครงการน่าสนใจที่จะมีกำไรเติบโตต่อเนื่อง เราก็ต้องซื้อตอนที่ยังไม่โตมาก หรือคาดว่าจะโตไปได้อีก แล้วก็ต้องขายเมื่อมันหยุดโต หรือโตน้อยกว่าความคาดหวังของตลาด
.
2) ซื้อหวังปันผล เราก็อาจเลือกหุ้นพื้นฐานดี กำไรสะสมเยอะ อาจไม่ได้มีโครงการลงทุนอะไรใหญ่โต กิจการมีกำไรก็เอามาปันผลให้ผู้ถือหุ้น แต่ในแง่นี้ก็อาจจะหวังว่าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นเยอะ ๆ ก็อาจจะไม่ได้
.
จริง ๆ แล้วก็มีอีกหลากหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นเล่นหุ้นวัฎจักรตามรอบของสินค้าโภคภัณฑ์ เล่นหุ้น Turn Around หรือแม้แต่การใช้เทคนิคอล การดู Bid-Offer ฯลฯ แต่หัวใจสำคัญก็คือ คุณต้องเข้าใจหลักการในการเล่นแต่ละแบบ และมีแผนการที่ชัดเจนว่าจะซื้อ ถือ หรือขายเมื่อไหร่
.
แต่ช่วงนี้นอกจากหุ้นตัวใหญ่ ๆ ที่ราคาเพิ่มขึ้นแล้ว ผมก็มักจะเห็นมีหุ้นขนาดเล็กหลายตัวเหมือนกันที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นเพราะมัน Bottom Out ขยายความแบบนี้คือ มันจะมีหุ้นบางตัวที่กำไรลดลง หรือขาดทุน บางทีมีสำรองหนี้ บางทีโดนค่าปรับ น้ำท่วม หรือเหตุการณ์แย่ ๆ ทำให้ราคามันปรับตัวลดลงมามาก ๆ จนแบบต้องร้องขอชีวิต และนักลงทุนส่วนมากก็จะส่ายหน้าและลืมมันไป
.
พอปีหน้าฟ้าใหม่ เรื่องเลวร้ายเหมือนจะผ่านไปหมดแล้ว ถึงแม้ตัวธุรกิจเองก็อาจจะยังไม่ได้มีอะไรเด่นชัดที่จะกลับมาทำให้กำไรโตได้มาก ๆ แต่เนื่องจากการที่ตัวเลขในปีก่อนมันแย่แบบสุด ๆ แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกันกำไรมันก็จะดูเหมือนว่าโตมาก ๆ และราคาก็ตอบสนองกับการคาดหวังนั้น ๆ ขึ้นมาก่อนได้เอง
.
แต่สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการเล่นหุ้นแบบนี้คือ ถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่ได้โตจริงตามที่คาด หรือเหตุการณ์เลวร้ายยังไม่หมด ราคาหุ้นก็พร้อมที่จะร่วงกลับไปเหมือนเดิมได้อีกครั้ง ผมถึงได้เรียกว่าเป็นการเล่นเก็งกำไรซะมากกว่า แต่ว่าถ้ากำไรเติบโตจริงจังและต่อเนื่องมันก็จะกลายเป็นหุ้น Turn Around และเติบโตต่อไปได้ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพครับ
.
SMT หุ้นที่ทำ OEM สินค้าอิเล็คทรอนิกส์ ราคาร่วงแบบฉุดไม่อยู่จาก 6-7 บาท ไปแถว ๆ 2 บาท รายได้ไม่เข้า ลูกค้าไม่จ่ายเงิน ต้องตั้งสำรองหนี้สูญ งบเรียกได้ว่าเละมาก นักลงทุนทยอยขายหนีตายกันหมด แต่โดยพื้นฐานไม่ได้จัดว่าเป็นหุ้นไม่ดี CFO ยังเป็นบวก D/E ยังพอทน 1 กว่า ๆ สภาพคล่องอาจไม่ดีมาก แต่พอมาปีนี้เริ่มมีสัญญาณแห่งความหวังว่า คงไม่ต้องสำรองหนี้แล้ว ลูกค้าน่าจะ order เพิ่ม มีการขยายการผลิตสินค้าใหม่ ๆ ราคาเลยวิ่งขึ้นมาแถว ๆ 3 บาทได้ตามความคาดหวังว่ามันผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ถ้างบออกมาไม่ดีจริง ราคามันก็พร้อมที่จะกลับไปที่เดิมได้ใหม่
.
XO หุ้นส่งออกซอส เครื่องปรุงรส ที่ร่วงเพราะโรงงานเสร็จแบบไม่พร้อม มีปัญหาจากเครื่องจักร order ยังไม่พอกับ capacity ราคามันก็เลยร่วงจาก 6-7 บาท ไป 4 บาทกว่า ๆ แต่พอมาปีนี้ หลายคนเริ่มหวังว่าปัญหาที่โรงงานน่าจะแก้ได้แล้ว รายได้ดูรายไตรมาสก็ยังเข้ามาได้เรื่อย ๆ อยู่ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็น่าจะไม่ได้เยอะมากมาย คือ ดูแล้วเหมือน downside จะต่ำ ขอแค่หา order มาเพิ่มกำลังการผลิตได้ กำไรก็น่าจะมา ราคาเลยวิ่งกลับขึ้นไปใกล้ ๆ 6 บาท ตามความหวัง
.
ยังมีอีกหลายตัวที่เป็น pattern คล้าย ๆ กัน เช่น S ที่สร้างคอนโดใกล้เสร็จ จากที่ไม่มีรายได้ก็จะมีเข้ามาเยอะ KOOL ที่อากาศไม่ร้อน แต่ปีนี้มีสินค้าใหม่ บวกกับอากาศน่าจะไม่เลวร้ายมาก BEC ที่เรตติ้งเริ่มดีจากบุพเพสันนิวาส หรืออาจจะมีข่าวดีเรื่องเงินประมูลดิจิตอล เหตุการณ์เหล่านี้เลยทำให้หุ้นที่นักลงทุนเมินไปก็กลับมาสนใจอีกครั้งและทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้
.
แต่อย่าลืมว่า เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ถ้าความคาดหวังมันเดินสวนทางกับความจริง ราคาหุ้นก็จะไม่ได้ขึ้นแบบจีรังยั่งยืน หรือกลับไปทำ New Low ได้มากกว่าเดิมก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดจะเล่นหุ้นประเภทนี้ เราต้องเข้าใจว่าเรากำลังเสี่ยงอยู่กับอะไร มันคือการเก็งกำไรหรือลงทุน เราต้องวางแผนการให้ดี แต่สุดท้ายสิ่งที่ดีที่สุดคือการเลือกเล่นหุ้นหรือลงทุนในรูปแบบที่เหมาะกับเราที่สุด แล้วเราก็จะมีความสุขกายสบายใจในการลงทุนครับ