หุ้นตกแบบนี้ โอกาสทองลงทุน SSF กองพิเศษ

มีคำพูดที่ว่า “ในวิกฤต มี โอกาส”

แต่จริงๆ แล้วประโยคนี้ยังไม่จบ เพราะต้องพูดต่อท้ายว่า “ถ้าลงทุน ถูกที่ ถูกเวลา”

 

** โอกาสในวิกฤต Subprime **

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2551 กับวิกฤติสินเชื่อซับไพร์ม ถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นไทย แล้วถือไว้ 10 ปี ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร

 

ถ้าเอา GDP เป็นตัวบอกเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน อัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2551 เป็นแบบนี้

GDP Q1 = 6%

GDP Q2 = 5.3%

GDP Q3 = 3.9%

GDP Q4 = -4.3%

วงเวลาที่เราเลือกในการเข้าลงทุนคือวันประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3 (ซึ่งตรงกับวันที่ 24 พฤศจิกายน 2551) เพราะเริ่มเห็นสัญญาณการหดตัวของเศรษฐกิจลงมาแล้วถึง 2 ไตรมาส  เราจะเข้าซื้อหุ้นที่ระดับดัชนี 393.82 จุด

 

ผ่านไป 10 ปี วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1606.69 จุด

คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้น (เฉลี่ย) 15.10% ต่อปี (พ.ศ.2551-2561)

 

แต่ถ้าเรารอให้เห็นภาพเศรษฐกิจฟื้นแบบชัดๆ เรามาดู GDP ปี 2552 กัน

GDP Q1 = -7.1%

GDP Q2 = -4.9%

GDP Q3 = -2.7%

GDP Q4 = 5.8%

 

ถ้าเรารอจนกระทั่ง GDP กลับมาเป็นบวกในไตรมาส 4 เราจะซื้อหุ้นวันที่ประกาศตัวเลข คือ 22 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ระดับดัชนี 706.34 จุด

 

เวลาผ่านไป 10 ปี วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1481.25 จุด

คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้น (เฉลี่ย) 7.69% ต่อปี (พ.ศ.2553-2563)

 

ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว การลงทุนในช่วงที่กำลังเกิดวิกฤต ได้ผลตอบแทนดีกว่า การลงทุนหลังจากเกิดวิกฤต มากกว่า 96% เลยทีเดียว และที่สำคัญ อย่ารอให้ GDP แสดงตัวเลขว่าแย่ที่สุด เพราะตลาดหุ้นจะเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจจริงเสมอ

 

** โอกาสในวิกฤต COVID-19 **

ปี 2563 วิกฤตที่ไม่มีใครคาดคิดและไม่อยากให้เกิด ได้กลับมาอีกรอบ คราวนี้มาในรูปของไวรัส และส่งผลกระทบไปทั่วโลก ในมุมของผู้ติดเชื้อ ถ้านับถึงตอนนี้ มีมากกว่า 3 ล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า 2 แสนคน

 

ในมุมของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2563 ดัชนีได้ลดลงจาก 1584 จุด เมื่อเดือนมกราคม ลงมาต่ำสุดที่ 969 จุด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 คิดเป็นการลดลง 39% ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่แถวๆ 1200 จุด ในช่วงเดือนเมษายน 2563

 

ในมุมของเศรษฐกิจ IMF ประเมินว่า GDP ประเทศไทยปีนี้จะติดลบ 6.7% ซึ่งสอดคล้องกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้เช่นกันว่าจะติดลบ 5.3%

 

ถ้าย้อนไปดู GDP ปี 2562 รายไตรมาสจะเป็นแบบนี้

GDP Q1 = 2.9%

GDP Q2 = 2.4%

GDP Q3 = 2.6%

GDP Q4 = 1.6%

เราเริ่มเห็นสัญญาณเดิมกลับมาอีกครั้ง GDP ไตรมาส 1 ปี 2563 คาดว่าจะต่ำกว่า ไตรมาส 4 ปีที่แล้วแน่นอน และจากประวัติศาสตร์ที่เราได้เรียนรู้มา ช่วงเดือนพฤษภาคมที่กำลังจะประกาศตัวเลข GDP ก็อาจจะเป็นโอกาสดีในรอบ 10 ปี ที่เราจะลงทุน

 

** SSF กองพิเศษ ให้เงินทำงานแทนคุณ **

 ตอนนี้เรารู้แล้วว่า เรากำลัง “อยู่ถูกเวลา” เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของการลงทุนในรอบ 10 ปี

แต่ปัญหาคือ ความรู้เรามีไม่พอ งานประจำก็ต้องทำ กลัวว่าจะไม่ทันการ ทำอย่างไรให้เราได้ “อยู่ถูกที่” ด้วย

 

กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund) หรือ SSF น่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งสำหรับการลงทุนในช่วงนี้ เพราะเป็นกองทุนที่ก่อตั้งขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมมากขึ้น เพื่อเน้นให้มีการจัดสรรเงินออมให้เพียงพอในระยะยาว โดยกองทุน SSF สามารถนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ทั้งหุ้นไทย ตราสารหนี้ กองทุนผสม กองทุนหุ้นต่างประเทศ สามารถลงทุนได้ทั้งหมด

 

นอกจากนี้ กองทุน SSF ยังสามารถนำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท (และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท)

 

และช่วงนี้ยิ่งเป็นโอกาสพิเศษ  เพราะได้มีการออก SSF กองพิเศษ มาเฉพาะกิจ ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มจากวงเงิน SSF ปกติ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท แต่มีข้อแม้ว่าต้องซื้อภายใน 3 เดือน คือ ตั้งแต่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 เท่านั้น รายละเอียดของ SSF กองพิเศษมีดังนี้

 

  1. ลดหย่อนภาษีได้เพิ่ม สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท (เพิ่มจากวงเงิน SSF ปกติ)
  2. ลงทุนหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% จึงเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นไทยราคาถูกในช่วงเวลานี้
  3. ระยะเวลาถือครองไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ (วันชนวัน) เราพิสูจน์มาแล้วว่า การลงทุนระยะยาวผ่านวิกฤต จะช่วยให้ผลตอบแทนเติบโตได้อย่างมาก
  4. ต้องซื้อกองทุนดังกล่าวในช่วงเวลา 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 เท่านั้น มีเวลาซื้อ 3 เดือนเท่านั้น

โดยสรุปแล้ว ผมมองว่า SSF กองพิเศษ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุนแบบ “ถูกที่และถูกเวลา” เหมาะสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาผลตอบแทนระยะยาวแถมยังได้ประหยัดภาษีไปในตัวอีกด้วย

 

ตอนนี้ คุณเห็น “โอกาสในวิกฤต” แล้ว

คุณจะคว้าโอกาสนั้นมาในตอนนี้

หรือจะรออีก 10 ปี ค่อยลงทุน

 

ที่มาแหล่งข้อมูล:

  • สถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ รายไตรมาส สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • สถิติดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ (SET index) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย