
GDP (Gross Domestic Product) เป็นตัวเลขที่เอาไว้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่นิยมใช้กัน เป็นการบอกว่าในปีหนึ่ง ๆ นั้นมีมูลค่าการผลิตสินค้าและบริการเท่าไหร่ โดยจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ได้ ขอให้ผลผลิตเกิดขึ้นในประเทศไทย ก็นับรวมหมด
ประมาณการ ณ วันที่ 19 พ.ย. 2561 GDP มีมูลค่า 16.3 ล้านล้านบาท
.
คิดเป็นรายได้ต่อหัวก็ตกอยู่ที่ 241,027 บาท ต่อปี หรือ ตกเดือนละประมาณ 20,085 บาท
.
แต่อย่างที่เราทราบกันว่ามีผู้มีรายได้น้อย 14 ล้านคน ที่มีรายได้ไม่ถึง 100,000 บาทต่อปี (เดือนละ 8,300 บาท)
.
นั่นแปลว่า เราก็ยังมีปัญหาการกระจายรายได้แบบ “รวยกระจุก จนกระจาย” อยู่ดี
…
ปี 2558 GDP 3%
ปี 2559 GDP 3.3%
ปี 2560 GDP 3.9%
Q1’2561 GDP 4.9%
Q2’2561 GDP 4.6%
Q3’2561 GDP 3.3%
….
เรากลับไปเห็นเลข 3 กันอีกครั้ง ซึ่งเท่ากับเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เป็นตัวเลขต่ำสุดในรอบ 7 ไตรมาส
.
ถ้าจะให้สรุปถึงสาเหตุแบบสั้น ๆ คือ ส่งออกเป็นตัวฉุดจากเศรษฐกิจหลายประเทศเริ่มชะลอ ผลกระทบจากสงครามการค้า คนจีนมาเที่ยวลดลง ขณะที่ตัว C โตขึ้นต่อเนื่องจากรถยนต์ ตัว I โตจากก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และเริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีใน EEC มากขึ้น ทีนี้เรามาดูรายละเอียดทีละตัวกันจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นครับ
………………………………………………
.
** Consumption (49% ของ GDP) เติบโต 5%**
.
• ดีต่อเนื่องขยายตัวสูดสุดรอบ 22 ไตรมาส ถ้าดูจากปี 60 มาถึง Q1,Q2,Q3 คือ 3.2% >> 3.7% >> 4.5% >> 5%
.
• สินค้าคงทน +16.7% (คือของที่ใช้แล้วทน ไม่พังง่าย) โดยยอดขายรถยนต์นั่ง +27% ยังโตต่อเนื่องหลังจากหมดรถคันแรกมา 5 ปี คนก็เริ่มเปลี่ยนรถกันใหม่ (เป็นหนี้ใหม่นั่นเอง) >> ดัชนีตัวนี้บอกได้ว่าคนฐานะปานกลางถึงรวยมีการใช้จ่ายกันเยอะ
.
• สินค้าไม่คงทนทรงตัว (สินค้าอุปโภคบริโภค ของกินของใช้) แปลว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ใช้จ่าย แต่ข่าวดีคือ กินเหล้า สูบบุหรี่กันลดลง ไปเพิ่มกันที่แป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ เยอะขึ้น
.
• สาเหตุที่ของกินของใช้ไม่เพิ่มเพราะว่ารายได้เกษตรกรไม่ได้เพิ่มเยอะ +1.1% ค่าจ้างแรงงาน +1.8% และหนี้ครัวเรือนยังสูงอยู่ที่ 77.5% ของ GDP ถึงแม้ว่าจะมีคนรายได้น้อยได้เงินธงฟ้ามาช่วยแล้วก็ตาม
.
• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 69.6% สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส
…
สรุป ตัว C เติบโตจริงจากคนเปลี่ยนรถยนต์กัน แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่ได้มีเงินเพิ่มในกระเป๋าเท่าไหร่ หาได้มาก็ใช้หนี้ก่อน แล้วค่อยมาซื้อของกินของใช้ คือ ถ้าไม่รีบหาทางเพิ่มรายได้กับคนส่วนมาก (แบบยั่งยืนนะ ไม่ใช่แค่แจกเงิน) แล้วยอดขายรถยนต์เริ่มแผ่วเมื่อไหร่ เครื่องจักรตัวนี้ก็อาจจะมีปัญหาในอนาคตได้
……………………………………
.
** Private Investment (23% ของ GDP) เติบโต 3.9%**
.
• โตต่อเนื่องขยายตัวสูดสุดรอบ 15 ไตรมาส ถ้าดูจากปี 60 มาถึง Q1,Q2,Q3 คือ 1.7% >> 3.1% >> 3.2% >> 3.9%
.
• อัตราการใช้กำลังการผลิตก็ดูดีอยู่ จากปี 60 มาถึง Q1,Q2,Q3 คือ 67% >> 72% >> 66% >> 66.5%
.
• พระเอก คือ การก่อสร้าง +5.4% โดยเฉพาะพวกคอนโดสูงเกิน 16 ชั้น โรงงานอุตสาหกรรม (เห็นการขออนุญาตในแถบ EEC มากขึ้น) แต่ว่าตึกแถวอาคารพาณิชย์ลดลง
.
• เครื่องมือเครื่องจักร +3.4% ก็โตดีอยู่ตามกำลังการผลิตที่ดูมีแนวโน้มดีขึ้น และโตที่หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง ตามการบริโภคเลย
.
• ดัชนึความเชื่อมั่นทางธุรกิจ 51.6% โตขึ้น
.
สรุป ตัว I ดี สอดคล้องกับการบริโภค และเริ่มเห็นการก่อสร้างเติบโตเรื่อยๆ EEC เริ่มมา ถ้านโยบายขยายการลงทุนของภาครัฐเพิ่มเติม ก็น่าจะเป็นตัวเร่งให้เครื่องจักรตัวนี้ทำงานได้ดีขึ้น
……………………………………
.
** Government (16% ของ GDP) **
.
• การใช้จ่ายภาครัฐเรียกว่าค่อย ๆ เพิ่มทีละนิดดีกว่า ถ้าดูจากปี 60 มาถึง Q1,Q2,Q3 คือ 0.5% >> 1.9% >> 2.0 >> 2.1% มาจากที่ช่วงหลัง ๆ เริ่มเบิกจ่ายงบประมาณได้ดีขึ้น แรก ๆ กลัวทำผิด พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างกัน
.
• การลงทุนภาครัฐ ถ้าดูจากปี 60 มาถึง Q1,Q2,Q3 คือ -1.2% >> 4% >> 4.9 >> 4.2% เติบโตจากการลงทุนภาครัฐวิสาหกิจต่อเนื่อง
.
สรุป ตัว G ค่อย ๆ มา ถ้าเร่งให้มีการเบิกจ่ายเร็วขึ้น และมีการลงทุนมากขึ้นก็น่าจะส่งผลดีกับการลงทุนภาคเอกชนตามมา
……………………………………
.
** Export (67% ของ GDP) +2.6%**
.
• ถ้าดูในรูปแบบ USD จากปี 60 มาถึง Q1,Q2,Q3 คือ 9.8% >> 9.9% >> 12.3% >> 2.6%
.
• แต่ถ้ามาดูในรูปของเงินบาท -0.1% สาเหตุหลักมาจาก 3 เรื่อง คือ คู่ค่าต่างประเทศเศรษฐกิจชะลอ Trade War และคนจีนมาเที่ยวไทยลดลง
.
• ประเทศคู่ค้าเศรษฐกิจชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน ทั้งจีน ยุโรป อาเซียน (ประเทศที่โตดีคือ อเมริกา และเวียดนาม)
.
• สินค้าส่งออกที่ขยายตัว คือ รถกระบะ รถบรรทุก ปิโตรเลียม ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มันสำปะหลัง ข้าว (แต่ระวังว่า ข้าว ได้จากประมูลที่ฟิลิปปินส์เพิ่มมา)
.
• สินค้าส่งออกที่หดตัว คือ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า กุ้ง แผงวงจร ยางพารา (สต็อคยางที่จีนสูง ส่วนแผงวงจรคือผลกระทบจาก Trade War)
………………………………………..
.
** นักท่องเที่ยวต่างประเทศ +1.9%**
.
• จำนวนนักท่องเที่ยวจากปี 60 มาถึง Q1,Q2,Q3 คือ 9.4% >> 15.5% >> 8.4% >> 1.9%
.
• รายรับนักท่องเที่ยวจากปี 60 มาถึง Q1,Q2,Q3 คือ 12.1% >> 18.9% >> 13.7% >> 0.5%
.
• อัตราการเข้าพัก 65.4% ลดลงจาก Q2 ที่ 71.4% แต่มากกว่า Q3’60 ที่ 63.7%
.
• นักท่องเที่ยวจีนลดลงจากเรือล่ม และเงินหยวนอ่อนค่า (-8.8%) นักท่องเที่ยวรัสเซียลดลงจากบอลโลก (-7.2%) แต่ได้อาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซียเพิ่มขึ้น (+26.3%) แต่ในแง่รายได้คนจีนใช้จ่าย 55,000 บาทต่อทริป ขณะที่นักท่องเที่ยวอาเซียนใช้อยู่ 31,000 บาทต่อทริป เลยชดเชยกันไม่พอ
…………………………………………………
.
** Import (56% ของ GDP) เติบโต 17%**
..
• ในรูปแบบ USD จากปี 60 มาถึง Q1,Q2,Q3 คือ 14.4% >> 16.3% >> 16.8% >> 17%
.
• นำเข้าทองคำสูงสุดในรอบ 5 ปี และนำเข้าเชื้อเพลิง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
.
สรุปตัว X-M ชะลอตัวอย่างมากทั้งในแง่ของตัวสินค้าส่งออกเองจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า Trade War และการท่องเที่ยวที่มากระทบหนักในช่วง Q3 ต้องติดตามว่า Q4 จะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้ไหม
…
สรุปภาพรวม GDP ที่ผ่านมาเราพึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมาก รอบนี้มาสะดุดลง แล้วยังไปโดนเรื่องการท่องเที่ยวมาซ้ำเติมอีก แต่ยังดีที่ได้การบริโภคเอกชน กับการลงทุนโตมาพอดี แต่ก็ยังไม่เร็วพอ
.
ที่สำคัญยังไปกระจุกตัวกับสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ มากกว่าที่จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีในระยะยาว เพราะไม่ได้ทำให้เกิดการจ้างงานเป็นวงกว้าง รายได้ของคนในประเทศก็จะไม่เพิ่มอย่างทั่วถึง สุดท้ายอาจจะต้องมาพึ่งการใช้จ่ายภาครัฐบาลให้มากกว่านี้และกระจายเป็นวงกว้างเพื่อให้ GDP กลับมาโตแบบสมดุลและยั่งยืน
……………………………………………….
.
** Implication กับการลงทุน **
..
1) เรายังคงเห็นคำว่า “ยานยนต์” เยอะ แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวที่เกี่ยวกับรถยนต์จะดีไปหมดทุกตัว เพราะว่าที่ดีคือ รถยนต์ที่ขายในประเทศเป็นหลัก ถ้าสนใจคงต้องไปทำการบ้านหุ้นที่เกี่ยวกับการขายชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศเป็นหลัก หรืออาจจะมองไปถึงสินเชื่อซื้อขายรถ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ หรือใครจะมองข้ามช็อตไปประมูลรถก็ว่ากันไป (เผื่อว่าผ่อนไม่ไหว โดนยึด หรือขายต่อ)
.
2) ก่อสร้าง กลุ่มนี้ดูน่าสนใจ เพราะมีการลงทุนต่อเนื่อง และน่าจะยังมีต่อจากโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะถ้าเป็นแถบ ๆ EEC ที่ดูดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็ลองหาดูว่าตัวไหนที่ได้ประโยชน์ทั้งวัสดุก่อสร้าง นิคม อสังหา ฯลฯ
.
3) ส่งออก ท่องเที่ยว อันนี้ให้ระวังครับ อย่างน้อยระยะสั้นก็ดูสถานการณ์ไม่ค่อยดี เพราะ Trade War ก็ยังดูไม่ชัดเจน นักท่องเที่ยวถึงแม้ถ้ายุโรปจะกลับมา แต่ว่าถ้าคนจีนยังไม่มาเยอะเหมือนเดิม ก็น่าเป็นห่วง หุ้นกลุ่มไหนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้พิจารณากันครับ
.
4) ในระยะต่อไป ผมมองว่า C, I, G จะต้องกลายมาเป็นพระเอก แทนการหดตัวลงของ X ลองดูครับว่าจะมีตัวไหนที่เราจะลงทุนได้ในต้นเทรนด์
..
ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมแนะนำดูได้ที่สภาพัฒน์ กับบทวิเคราะห์ของ SCB EIC ครับ
..
http://www.nesdb.go.th/main.php?filename=QGDP_report
..
https://www.scbeic.com/th/detail/product/5142