เมื่อวานไป LIVE กับคุณเผ่า CEO JITTA มา สนุกมากครับ คุยเพลินกันไป 2 ชั่วโมง จนไฟฟ้าช็อตกันเลยทีเดียว ได้ข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับการลงทุนหลายอย่างเลยอยากสรุปให้อ่านกันครับ
1) ซื้อหุ้นบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม
.
เป็นหัวใจสำคัญในการลงทุน ก่อนจะซื้อหุ้นตัวไหนต้องมั่นใจว่าเป็นบริษัทที่ดี รายได้ กำไร เงินสด สภาพคล่อง ผู้บริหาร ที่ดูผ่านงบการเงินแล้วบอกได้ว่าดีและยังน่าจะดีต่อเนื่อง แต่พอเจอแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะซื้อได้ ต้องดูด้วยว่าราคาปัจจุบันมี margin of safety หรือว่ามี upside กับมูลค่าที่ควรจะเป็นแค่ไหน เพราะหุ้นดี แต่ราคาแพง ซื้อไปก็ขาดทุน หุ้นไม่ดี ถึงราคาถูก มันก็อาจไม่ไปไหนเช่นกัน
.
2) ผลตอบแทนไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรง
.
หลายคนเวลาซื้อหุ้นก็อยากเห็นราคาวิ่งขึ้นอย่างเดียวไปเรื่อย ๆ แต่ในความเป็นจริง ราคามันมีขึ้นมีลงได้ตลอดเวลา เพราะผู้เล่นในตลาดมีความต้องการ ความคาดหวัง และความเช้าใจในหุ้นตัวนั้น ๆ ไม่เหมือนกัน บางคนขอ 2 ช่องพอ บางคนเห็นข่าวร้ายในตลาดทั้ง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับหุ้นที่ตัวเองถือ ก็พลอยขายทิ้งไปด้วย ราคาเลยสะท้อนภาพของสิ่งเหล่านี้ แต่ในระยะยาวแล้วถ้าหุ้นตัวนั้นมีผลประกอบการดีจริง ราคาก็จะสะท้อนไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นในที่สุด
.
3) กระจายความเสี่ยงไม่ให้พอร์ตพัง
.
บางคน All-in กับหุ้น 1-2 ตัว ถ้ากำไรก็ได้เยอะเป็นกอบเป็นกำ แต่พอขาดทุนก็เสียหายมหาศาลเช่นกัน การที่เราลงทุนหุ้น 10-20 ตัว แบบเท่า ๆ กัน ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเป็นเด้ง ๆ แต่อย่างน้อยเราก็มั่นใจได้ว่าถ้ามีตัวไหนที่ขาดทุนถึงแม้จะเยอะมันก็ไม่อาจทำร้ายพอร์ตเราจนพังได้ แต่หลักการนี้จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อ เราได้เลือกหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสมมาก่อนแล้ว
.
4) ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอสำคัญกว่า
.
หลายคนอยากรวยเร็ว หวังว่าซื้อหุ้นแล้วได้ผลตอบแทนเป็นเด้ง ๆ ติดต่อกันหลาย ๆ ปี อยากปั้นพอร์ต 8 หลัก 9 หลัก แต่หลายคนเช่นกันกลับไม่ได้มองว่าถ้าผิดทางเราก็จะขาดทุนได้เป็นเด้ง เราคงไม่อยากให้หัวใจสูบฉีดจนเกินไปกับการที่โตทีหลายเด้ง ขาดทุนทีหลายล้าน ถ้าเลือกได้เราคงอยากได้ผลตอบแทนแบบโตสม่ำเสมอมากว่า
..
5) ลงทุนในระยะเวลาที่ยาวพอ
.
เพราะมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบตัน แรก ๆ จะเดินแบบช้า แต่พอสะสมพลังจนได้ที่ มันจะวิ่งในด้วยความเร็วแบบก้าวกระโดด คิดง่าย ๆ คล้าย ๆ กับเลขยกกำลังที่ยิ่งคูณยิ่งเพิ่มเร็ว แต่ที่สำคัญเราต้องลงทุนในหุ้นที่ถูกตัว มีอนาคต และถือไว้ให้ยาวพอจนมันแสดงศักยภาพออกมา
.
ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราเริ่มลงทุนที่ 1 ล้านบาท ได้ผลตอบแทน 15% ต่อปี ถ้าทำได้สม่ำเสมอเป็นเวลา 20 ปี มันจะกลายมาเป็น 16 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่น้อยและไม่ยากเกินไปที่จะทำสำเร็จ มันอาจดูไม่เร้าใจแต่เราก็คงไม่ปวดใจถ้ายิ่งเสี่ยงแล้วยิ่งขาดทุน
..
6) กำไรให้มากกว่าขาดทุน
.
ไม่เคยมีใครทำกำไรได้ทุกครั้งที่ลงทุน แต่ถ้าขาดทุนทุกครั้งอาจจะมี สิ่งสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้ชนะมากกว่าแพ้ ให้กำไรมากกว่าขาดทุน เพราะสุดท้ายเราวัดกันที่ผลของพอร์ตรวมว่าเป็นอย่างไร กำไร 7 ตัว ขาดทุน 3 ตัว สุดท้ายพอร์ตดีก็จบแบบมีความสุข เหมือนกับคำพูดที่บอกกันว่า“แพ้ศึกแต่ชนะสงคราม”
..
7) มีวินัยทำตามหลักการ
.
Jitta ปรับพอร์ตปีละครั้ง แล้วมาเลือกหุ้นใหม่ที่ติดอยู่ใน Top Ranking โดยกระจายการลงทุนเป็นเปอร์เซ็นต์เท่า ๆ กัน ถึงแม้ว่าจะมีหุ้นบางตัวที่ดูยังมีแนวโน้มที่ดีแต่ถ้าเกินสัดส่วนทีกำหนดก็ต้องขาย แล้วไปซื้อตัวอื่นที่ติด Top Ranking เพิ่มขึ้นแทน เป็นการ Balance พอร์ตตามหลักการ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงในแต่ละวัน แต่อย่างน้อยเราทำตามวินัยตามระบบที่สร้างขึ้นมา
…
8) หุ้นดีต้องซื้อ หุ้นไม่ดีก็ต้องขาย
.
ไม่จำเป็นว่าเราเป็น VI ซื้อหุ้นแล้วห้ามขาย หรือต้องถือหุ้นนานหลายปี แต่เราต้องเอาหลักการเป็นตัวตั้งว่าถ้าเข้าเกณฑ์แบบนี้เราจะซื้อหรือขาย อย่างพอร์ตน้องไอวี่ ปรับพอร์ตทีเหลือตัวเดิมแค่ 6 ตัว เพราะตัวที่เหลือไม่เข้าหลักเกณฑ์ มีทั้งตัวที่กำไรและขาดทุน เราก็ต้องปรับพอร์ตตาม ห้ามยึดติดที่ตัวหุ้น แต่ให้ยึดมั่นกับหลักการลงทุนและลงมือปฏิบัติตามแผนการ
..
9) อย่าหวั่นไหวกับความผันผวนของนายตลาด
.
หุ้นบางตัวอยู่ ๆ ก็ร่วงลงฟลอร์ วันต่อมาดีดกลับไปเกือบชนเพดาน ถ้าเราขายวันที่ตกหนักคงเศร้า แต่ถ้าเราไม่สนใจดูมันก็เหมือนกับนอนหลับฝันไปแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนที่เค้าชอบบอกกันว่า นายตลาด หรือ Mr.Market มีอารมณ์แปรปรวน เข้าใจยาก เดี๋ยวราคาก็ขึ้นเดี๋ยวราคาก็ลง เพราะฉะนั้น เราอย่าหวั่นไหวกับราคาที่ผันผวน แต่ให้ยึดมั่นกับตัวธุรกิจ และผลประกอบการมากกว่า
.
10) รู้จริงก่อนลงทุน
.
ผมชอบที่คุณเผ่าบอกว่า ถ้าคุณมีเงินแต่ยังไม่เข้าใจในหลักการของ Jitta Wealth ก็ยังไม่ให้ลงทุน ผมว่าเจ๋งดีนะ คือไม่ได้คิดเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง แต่เค้าอยากให้เจ้าของเงินได้เรียนรู้ได้เข้าใจก่อนว่าเงินที่จะเอามาลงทุนจะเอาไปทำอะไรอย่างไรบ้าง ต้องมีความรู้ก่อน และผมว่าเราก็เอาแนวคิดนี้ไปใช้กับเรื่องอื่น ๆ ได้อีก ถ้าคุณจะลงทุนเอง ทำธุรกิจส่วนตัว หรือทำงานประจำก็ตาม เราก็ต้องมีความรู้ให้ถ่องแท้ก่อนที่จะทำ เพื่อว่าจะได้ไม่เกิดความผิดพลาด ขาดทุน แล้วมานั่งเสียใจว่ารู้งี้ศึกษาหาความรู้ก่อนดีกว่า
…
อีกเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังคือ ผมสัมผัสได้ว่าคนทำงานที่ JITTA ดูมีความสุขในงานที่ตัวเองทำดีจัง ดูมีพลังในการทำงานกันดี เหมือนเป็นครอบครัวนั่งทำงานกันในบ้าน เลยไม่แปลกใจว่าทำไม JITTA ถึงได้รางวัล “The Startup of the Year”